ราชวงศ์บูร์บง
ราชวงศ์บูร์บงแห่งซิซิลีทั้งสองมีต้นกำเนิดมาจากราชวงศ์กาเปเซียง นับย้อนไปได้ถึงรัชสมัยพระเจ้าอูก กาแป ซึ่งขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 987 ต่อมาราชวงศ์บูร์บงก็เริ่มเข้าสู่ยุครุ่งโรจน์ จากการที่พระเจ้าอองรีที่ 4 กษัตริย์บูร์บงพระองค์แรกของฝรั่งเศส และพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้เป็นพระราชนัดดา แผ่ขยายอิทธิพลให้ราชวงศ์ยิ่งใหญ่ขึ้น จนในที่สุดราชสกุลบูร์บงก็ได้สถาปนาสายราชวงศ์ที่ปกครองภูมิภาคอิตาลีใต้ขึ้นในชื่อว่า “ซิซิลีทั้งสอง” ควบคู่ไปกับการครองราชย์ในฝรั่งเศสและสเปน
ด้วยประการนี้ หนึ่งในราชวงศ์ที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดของยุโรปจึงได้ปกครองรัฐที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรหนาแน่นที่สุดของอิตาลีก่อนการรวมชาติ ในห้วงเวลาสำคัญที่มีการเปลี่ยนผ่านจากยุคใหม่สู่ยุคปัจจุบัน ขณะที่ประเทศกำลังเริ่มก้าวสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม และนำพาอธิปไตยกลับคืนสู่เนเปิลส์อีกครั้งหลังจากอยู่ภายใต้การปกครองของต่างชาติมาหลายศตวรรษ
เดิมที พระเจ้าชาร์ลส์แห่งบูร์บง พระโอรสในพระเจ้าฟิลิปที่ 5 แห่งสเปน และพระนางเอลิซาเบธ ฟาร์เนเซ ทรงได้รับการวางตัวให้สืบทอดตำแหน่งประมุขแห่งดัชชีปาร์มาและปิอาเชนซา ซึ่งเป็นแผ่นดินเดิมของพระมารดา รวมถึงแกรนด์ดัชชีทัสคานี ซึ่งปกครองโดยเกียน กัสโตเน เด เมดิชี ที่ไม่มีทายาทสายตรง
ในปี ค.ศ.1731 เจ้าชายบูร์บงซึ่งมีพระชนมายุ 19 พรรษาได้เข้าพบกับแกรนด์ดยุกสูงวัยเพื่อรับการถ่ายทอดบทเรียนสำหรับกษัตริย์ในอนาคต และสามปีต่อมา พระองค์ก็ได้นำทัพฝรั่งเศส-สเปนเข้าสู่สนามรบเพื่อขับไล่กองทัพออสเตรียจนพิชิตราชอาณาจักรเนเปิลส์และซิซิลีได้นับแต่นั้นมา พระเจ้าชาร์ลส์ก็ตัดสินพระทัยที่จะเปิดรับความก้าวหน้าในยุคสมัยของพระองค์ และรวบรวมผู้มีความสามารถทั้งหมดในราชอาณาจักรทั้งสองที่พระองค์ปกครองให้มาช่วยกันพัฒนาประเทศ พระองค์ทรงริเริ่มงานสาธารณะมากมาย ทรงพยายามปรับปรุงระบบขนส่ง ก่อตั้งโรงงานเครื่องกระเบื้องเคลือบชื่อดังที่คาโปดิมอนเต สนับสนุนการขุดค้นทางโบราณคดีครั้งแรกในเมืองปอมเปอี และการก่อสร้างโรงอุปรากรซานคาร์โลแห่งเนเปิลส์ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมอบหมายให้ลุยจิ วานวิเตลลี สร้างพระราชวังอันโอ่อ่าที่กาแซร์ตา แข่งกับพระราชวังแวร์ซายอีกด้วย แนวทางการต่างประเทศอันสุขุมรอบคอบของพระเจ้าชาร์ลส์ซึ่งช่วยให้พระองค์ยังคงอยู่ในบัลลังก์ได้ระหว่างสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรียและสงครามเจ็ดปี ควบคู่ไปกับนโยบายโลกิยานุวัติ (การแยกเรื่องทางศาสนาออกจากกิจการของรัฐอย่างชัดเจน) ที่ดำเนินการโดยเห็นชอบกับราชวงศ์บูร์บงอื่น ๆ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันทรงภูมิธรรม และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งความก้าวหน้าที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ในอิตาลีใต้
พระเจ้าชาร์ลส์เสด็จออกจากเนเปิลส์อย่างไม่เต็มพระทัยหลังจากที่พระเชษฐาของพระองค์ คือพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 6 แห่งสเปน สิ้นพระชนม์โดยไม่มีผู้สืบทอด พระเจ้าชาร์ลส์ซึ่งทรงออกพระราชกฤษฎีกาการสืบราชสมบัติ ค.ศ. 1759 (Pragmatic Sanction) เพื่อควบคุมความสัมพันธ์ทางการสืบทอดในราชอาณาจักรสเปนและเนเปิลส์ ทรงถูกบังคับให้เสด็จไปยังกรุงมาดริดพร้อมกับพระราชินีและพระโอรสองค์แรกซึ่งมีพระนามว่าชาร์ลส์เช่นกัน โดยมอบเนเปิลส์และซิซิลีให้พระโอรสองค์ที่สามคือ เฟอร์ดินานด์ ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุเพียงแปดปี เป็นผู้ปกครองต่อไป
ในช่วงที่พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ยังทรงพระเยาว์ ได้ทรงมอบให้คณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดินซึ่งนำโดยรัฐมนตรีเบอร์นาร์โด ตานุชชี เป็นผู้ดูแลราขการแทนพระองค์ จนกระทั่งเมื่อพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะในปี ค.ศ. 1767 และการปฏิรูปแบบภูมิปัญญายังคงดำเนินต่อไป อำนาจการปกครองก็ยังคงอยู่ในมือของรัฐมนตรีชาวทัสคานีผู้นี้ อิทธิพลของฝรั่งเศส-สเปนค่อย ๆ ลดบทาทลง เมื่อมีการสร้างความสัมพันธ์กับกรุงเวียนนาจากการที่พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางมารีอา คาโรลีนาแห่งฮับส์บูร์ก-ลอแรน พระธิดาในพระนางมารีอา เทเรซาผู้ยิ่งใหญ่
หลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1799 กองทัพของสาธารณรัฐฝรั่งเศสก็เข้ารุกรานราชอาณาจักรแห่งนี้ พระมหากษัตริย์ทรงหลบหนีไปยังเมืองปาแลร์โมภายใต้การคุ้มครองของกองเรืออังกฤษ ขณะที่กลุ่มปฏิวัติประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐในเนเปิลส์ แต่เพียงหกเดือนให้หลัง ประชาชนส่วนใหญ่ในอิตาลีตอนใต้ก็ยินดีให้พระคาร์ดินัลฟาบริซิโอ รุฟโฟแห่งกาลาเบรีย ฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ขึ้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้สร้างความแตกแยกครั้งสำคัญกับชนชั้นกระฎุมพีในท้องถิ่น ดังที่ปรากฏหลักฐานในงานเขียนเรียงความทางประวัติศาสตร์ว่าด้วยการปฏิวัติเนเปิลส์ปี ค.ศ. 1799 ของวินเชนโซ กัวโก ต่อมา ฝรั่งเศสก็บุกโจมตีทางตอนใต้ของอิตาลีอีกครั้ง ก่อให้เกิดช่วงเวลาที่เรียกว่า “ซิซิลีครั้งที่สอง” (1806 – 1815) ขึ้น ซึ่งทำให้เกาะซิซิลีได้รับรัฐธรรมนูญฉบับแรกของตนเองในปี ค.ศ. 1812 โดยเจ้าชายผู้สำเร็จราชการฟรานซิสเป็นผู้ประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังถือเป็นฉบับแรกในอิตาลีที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบนโปเลียนด้วย
ในปี ค.ศ. 1815 พระเจ้าเฟอร์ดินานด์สามารถกลับไปประทับที่เนเปิลส์อย่างถาวรพร้อมด้วยรัฐมนตรีลุยจิ เดอ เมดิชี ซึ่งในปีถัดมาได้เป็นผู้ดูแลการรวมสองดินแดนเข้าด้วยกัน กลายเป็นราชอาณาจักรซิซิลีทั้งสอง การตัดสินใจครั้งนั้นสร้างความไม่พอใจแก่ชาวซิซิลี ขณะเดียวกันก็มีนายทหารหนุ่มหลายคนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคาร์โบนารีคอยปลุกปั่นจนเกิดการกบฏในปี ค.ศ. 1820 พระเจ้าเฟอร์ดินานด์สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยแรงสนับสนุนจากชาติมหาอำนาจยุโรป ซึ่งได้ประชุมกันที่สภาไลบัค (ปัจจุบันคือเมืองลูบลิยานา) และมีมติให้กองทัพออสเตรียยกทัพลงมาทางใต้ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1825 พระชนมายุได้ 73 พรรษา หลังจากครองราชย์ยาวนานกว่า 60 ปี
พระเจ้าฟรานซิสที่ 1 ทรงปกครองแผ่นดินเป็นระยะเวลาสั้น ๆ อยู่ 5 ปี โดยยังคงดำเนินนโยบายตามพระราชบิดา ภายใต้การชี้นำของรัฐมนตรีเมดิชี ในปี ค.ศ.1827 พระองค์สามารถเจรจาให้กองกำลังออสเตรียที่ยังคงประจำการอยู่ในอาณาจักรถอนทัพกลับไปได้ พระองค์ทรงมีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์และพฤกษศาสตร์เป็นพิเศษ จึงทรงส่งเสริมการเกษตรอันเป็นสิ่งที่พระองค์โปรดปรานอย่างยิ่งด้วยการนำระบบเพาะปลูก ชลประทาน และการเพาะพันธุ์รูปแบบใหม่ ๆ เข้ามาใช้ ไม่นานก่อนเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ.1829 พระองค์ได้สถาปนา “เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์ฟรานซิสที่ 1” ซึ่งถือเป็นต้นแบบของเครื่องราชอิสริยาภรณ์เพื่อเชิดชูเกียรติฝ่ายพลเรือนในปัจจุบัน โดยมอบให้แก่ผู้ที่มีผลงานโดดเด่นด้านวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ หรือการบริการสาธารณะ
เกือบศตวรรษต่อมา อาณาจักรก็มีผู้ปกครองหนุ่มวัยเพียงยี่สิบปีอีกครั้ง เมื่อพระเจ้าเฟอดินานด์ที่ 2 เสร็จขึ้นครองราชย์ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1830 ในช่วงที่อังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มต้นการปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยมีการคิดค้นรถไฟเป็นสัญลักษณ์สำคัญ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ก็ทรงผลักดันการสร้างทางรถไฟสายแรกของอิตาลี
คือเส้นทางเนเปิลส์–พอร์ติชี ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1839 ตามมาด้วยนวัตกรรมลำดับแรก ๆ ในอีกหลายสาขา เช่น การเปิดโรงงานผลิตเหล็กที่เปียตราร์ซา บริษัทเรือกลไฟแห่งแรกในเมดิเตอร์เรเนียน และหอดูดาวเวสุเวียส ช่วงที่เกิดการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1848 พระเจ้าเฟอร์ดินานด์เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของอิตาลีที่ยอมมอบรัฐธรรมนูญ แต่การทดลองเปิดรัฐสภากลับไม่ประสบผลสำเร็จ และไม่กี่เดือนต่อมาก็หวนกลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อีกทั้งการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชของชาวซิซิลีก็ถูกกองทัพปราบปรามลง พระองค์สิ้นพระชนม์ที่พระราชวังกาแซร์ตาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1859
รัชสมัยของพระเจ้าฟรานซิสที่ 2 เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางวิกฤติระหว่างประเทศที่ตึงเครียดภายหลังสงครามประกาศเอกราชอิตาลีครั้งที่สอง เมื่อออสเตรียหมดอิทธิพลบนคาบสมุทรอิตาลี แคว้นปีเยมอนต์ของเคาน์กาโวร์เรืองอำนาจขึ้น และอังกฤษมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ ก็ทำให้เกิดการเดินทัพของ “กองทัพพันคน” ในปี ค.ศ. 1860 โดยมีกองทัพซาวอยจากทางเหนือบุกเข้ามาสมทบในตอนท้าย
เมื่อราชอาณาจักรที่ประกาศตัวเป็นกลางถูกละเมิดอย่างเปิดเผย พระเจ้าฟรานซิสที่ 2 จึงหันไปใช้กฎหมายระหว่างประเทศซึ่งมีการพูดถึงกันมาได้สักพักแล้วในช่วงเวลานั้น แต่ยังไม่มีการวางกรอบอย่างชัดเจนจนกระทั่งหลังจบสงครามโลก พระองค์พร้อมพระราชินีมารี โซฟี ผู้ยังทรงพระเยาว์ เสด็จถอยไปยังป้อมกาเอตา พยายามปกป้องสิทธิในการครองราชย์ด้วยเกียรติ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจต้านทานได้
พระเจ้าฟรานซิสสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1894 ขณะลี้ภัยอยู่ที่แคว้นเทรนติโนของออสเตรีย โดยมิได้มีทายาทสายตรง และได้มอบสิทธิในการสืบราชบังลังก์ให้แก่อัลฟอนโซ เคานต์แห่งกาแซร์ตา ผู้เป็นอนุชา (1841 – 1934) หลังจากมีการประกาศสละลิทธิในราชบัลลังก์ (Act of Cannes) ในปี ค.ศ. 1900 สิทธิการสืบราสมบัติก็ตกทอดไปยังบุตรชายของอัลฟอนโซ รานีเอรี ดยุกแห่งกัสโตร (1883 – 1973) แล้วจึงตกไปยังทายาทของยดุก ได้แก่ เฟอร์ดินานด์ผู้เป็นบุตรชาย (1926 – 2008) และคาร์โลผู้เป็นหลาน (1963) ซึ่งปัจจุบันยังคงมุ่งมั่นที่จะสืบสานเรื่องราวและมรดกของราชอาณาจักรและราชวงศ์ โดยผสมผสานประเพณีกับนวัตกรรมในบริบทของราชวงศ์ยุโรปสมัยใหม่ นี่คือบริบทของการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ของเจ้าชายชาร์ลส์ในปี ค.ศ. 2016 ที่จะไม่ยึดตามกฎหมายซาลิก (Salic law) ซึ่งกีดกันการสืบราชสมบัติของสตรี แต่หันมาใช้หลักกฎหมายยุโรปที่ห้ามการเลือกปฏิบัติระหว่างชายกับหญิง โดยการแต่งตั้งเจ้าหญิงมารีอา คาโรลีนา พระธิดาองค์แรก เป็นดยุคแห่งคาลาเบรีย และเป็นรัชทายาทโดยชอบธรรม
คลิกที่นี่เพื่ออ่านประวัติของราชสกุลบูร์บงฉบับสมบูรณ์
ราชวงศ์บูร์บง
ราชวงศ์บูร์บง